ร้อยเอ็ด Roi Et Thailand
ภาคอีสาน เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ ภาษาหลักของภาคนี้ คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นต้น ภาคอีสาน มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 168,854 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ร้อยละ 33.17 เทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทยได้จัดว่าเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสานในหลายจังหวัดด้วยกัน เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน มีพื้นที่เป็นที่ราบสูง ทางตอนไต้จะยาวไปติดกับชายแดนกัมพูชาทางทิศตะวันตกจะมีเทือกเขา เพชรบูรณ์ กั้นตลอดแนวสุดทางตอนเหนือของเขตซึ่งเป็นแนวกั้นระหว่าง ภาคเหนือกับภาคกลาง ภูมิภาคนี้ จะมีจังหวัด มากถึง 19 จังหวัด จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมาย เช่นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง เป็นแหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์ที่สำคัญทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ กรมศิลปากรได้ทำการสำรวจขุดค้นระหว่างปี พ.ศ. 2517-2518 จากการศึกษาหลักฐานต่างๆได้พบว่า ี้รายละเอียดจังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดที่เปรียบเสมือนกับประตู เมืองที่จะเข้าสู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานของไทย จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เมืองโคราช โดยมีลักษณะทางภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูง มีแม่น้ำที่สำคัญ ของจังหวัดก็คือ แม่น้ำมูล รายละเอียด อำเภอภูเรือ ตั้งอยู่บน เทือกเขาสูง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้นานาพันธุ์ รวมทั้ง น้ำตก และลำธาร จึงมีภูมิประเทศที่สวยงาม และอากาศเย็นสบายเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะเดือนธันวาคม-มกราคม จะมีอากาศเย็นจนถึงหนาว ทำให้อำเภอภูเรือเป็นแหล่งผลิต ไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวที่สำคัญ แห่งหนึ่ง ของประเทศไทย รายละเอียด
ร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดในบริเวณลุ่มแม่น้ำชีในภาคอีสานของไทย ที่อดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปรากฏชื่อในตำนานอุรังคธาตุว่า สาเกตนคร หรือ เมืองร้อยเอ็จประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรื่องโดยที่มีเมืองขึ้นจำนวนมาก
การตั้งชื่อเมืองว่า "ร้อยเอ็จประตู" นั้น น่าจะเป็นการตั้งชื่อเชิงอุปมาอุปไมยให้เป็นศิริมงคลและแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองมากกว่าการที่เมืองจะมีประตูเมืองอยู่จริงถึงร้อยเอ็ดประตู ซึ่งการตั้งชื่อเพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองผ่านการมีประตูเมืองจำนวนมากนั้น น่าจะได้รับอิทธิพลหรือแบบอย่างมาจากเมืองหรืออาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในสมัยโบราณอย่างทวารวดีซึ่งมีความหมายว่าเมืองที่มีประตูล้อมรอบเป็นกำแพง หรืออย่างเมืองหงสาวดีที่มีประตูเมืองรายล้อมกำแพงเมืองอยู่ยี่สิบประตู ซึ่งแต่ละประตูนั้นจะตั้งชื่อตามเมืองขึ้นของตน เช่น เชียงใหม่ อโยธยา เป็นต้น นอกจากนั้นการตั้งชื่อเมืองให้ดูยิ่งใหญ่เกินจริงเพื่อความเป็นศิริมงคลก็ถือเป็นธรรมดาของการตั้งชื่อเมืองหรืออาณาจักรในสมัยโบราณ
ในส่วนของข้อสัณนิษฐานที่ว่าเมืองร้อยเอ็ดน่าจะมีเพียงสิบเอ็ดหัวเมือง อันเนื่องมาจากการเขียนจำนวนตามแบบภาษาลาวโบราณ โดยเลขสิบเอ็ดจะประกอบไปด้วยเลขสิบกับเลขหนึ่ง (๑๐+๑ =๑๐๑)ทำให้เกิดการอ่านที่ผิดเพี้ยนเป็นคำว่าร้อยเอ็ดนั้น น่าจะเป็นสมมุติฐานที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการตรวจสอบข้อความตัวอักษรธรรมในต้นฉบับใบลานเรื่องอุรังคธาตุไม่ปรากฎว่ามีจุดไหนที่เขียนชื่อเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวเลข แต่กลับมีการเขียนถึงเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวอักษรทุกจุด (มีทั้งหมด ๕๙ จุด) ประกอบกับตามธรรมดาของการตั้งชื่อต่างๆไม่ว่าจะคนหรือเมืองนั้น จะต้องมีการออกเสียงก่อนถึงจะมีการเขียนเป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งหากชื่อเมืองแต่เดิมชื่อว่าเมืองสิบเอ็ดประตูแล้วจึงมีการจารึกชื่อเป็นตัวเลขอย่าง ๑๐๑ นั้น คำว่าสิบเอ็ดก็ไมน่าจะออกเสียงเพี้ยนจนมาเป็นคำว่าร้อยเอ็ดอย่างในปัจจุบันได้ ดังนั้นชื่อเมืองร้อยเอ็ดหรือเมืองร้อยเอ็ดประตูจึงน่าจะเป็นชื่อเมืองที่มีมาอยู่แต่แรกเริ่มดังปรากฎในหลักฐานสำคัญคือตำนานอุรังคธาตุ
สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการพบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์กระจายอยู่ทั่วไปในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ขุดพบแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวซึ่งสันนิษฐานว่า ชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบมีอายุประมาณ 1,800-2,500 ปีมาแล้ว และมักมีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำกับใกล้แหล่งเกลือสินเธาว์ อิทธิพลของพุทธศาสนาภายใต้วัฒนธรรมทวารวดีได้เข้ามาเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีหลักฐานสมัยทวารวดีที่สำคัญ เช่น คูเมืองร้อยเอ็ด เจดีย์เมืองหงส์ในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน กลุ่มใบเสมาบริเวณหนองศิลาเลขในเขตอำเภอพนมไพร และพระพิมพ์ดินเผาปางนาคปรกที่เมืองไพรในเขตอำเภอเสลภูมิวัฒนธรรมจากอาณาจักรขอมได้แพร่เข้ามาในพุทธศตวรรษที่ 16 ปรากฏหลักฐานอยู่มาก เช่น สถาปัตยกรรมในรูปแบบของปราสาทหิน เช่น กู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ และประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำจากหินทรายและโลหะเป็นจำนวนมากสมัยทวารวดีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ได้ต่อเนื่องมาถึงสมัยทวารวดีซึ่งเป็นวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา เมืองที่สร้างขึ้นมีรูปร่างและที่ตั้งไม่แน่นอน แต่มีลักษณะที่สำคัญคือ มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบชุมชน ร่องรอยที่ยังเห็นอยู่ของคูเมืองและคันดินได้แก่บริเวณด้านตะวันออกของวัดบูรพาภิราม ด้านใต้ของเมืองบริเวณโรงเรียนสตรีศึกษา นอกจากนี้ยังพบอยู่ในอำเภอต่าง ๆ ของร้อยเอ็ด ได้แก่ บ้านเมืองไพร (เขตอำเภอเสลภูมิ) บ้านเมืองหงส์ (เขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) บ้านสีแก้ว (เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด) หนองศิลาเลข บ้านชะโด (เขตอำเภอพนมไพร) และบ้านดงสิงห์ (เขตอำเภอจังหาร)สมัยลพบุรีได้พบโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหรือละโว้ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ ปราสาทหินกู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่โพนระฆัง กู่โพนวิท กู่บ้านเมืองบัวในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่คันทนามในเขตอำเภอโพนทราย สำหรับโบราณวัตถุ ได้แก่ รูปเคารพและเครื่องมือเครื่องใช้ในศาสนา เช่นพระพุทธรูป เทวรูป ศิวลึงค์ ภาชนะดินเผา คันฉ่องสำริด กำไลสำริด เป็นต้นสมัยอาณาจักรล้านช้างได้ปรากฏชื่อเมืองร้อยเอ็ดในเอกสารของลาวว่า พระเจ้าฟ้างุ้มเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นบุตรเขยเมืองขอม ได้นำไพร่พลมารวมกำลังกันอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด ก่อนยกกำลังไปยึดเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ได้สำเร็จแล้วจึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลักฐานเกี่ยวกับเมืองร้อยเอ็ดขาดหายไปประมาณ 400 ปี จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2231 เมืองเวียงจันทน์เกิดความไม่สงบ พระครูโพนสะเม็ดพร้อมผู้คนประมาณ 3,000 คนได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง แล้วมาตั้งมั่นอยู่ที่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ผู้ปกครองเมืองจำปาศักดิ์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระครูโพนสะเม็ด จึงได้นิมนต์ให้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกครองเมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเจ้าหน่อกษัตริย์ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้ขยายอิทธิพลไปในดินแดนต่าง ๆ เหนือสองฝั่งแม่น้ำโขง ได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่งและส่งบริวารไปปกครอง เช่น เมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร เมืองรัตนบุรี เมืองคำทอง เมืองสาละวัน และเมืองอัตตะปือ เป็นต้นต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2256 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้มอบหมายให้อาจารย์แก้วควบคุมไพร่พลประมาณ 3,000 คน มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนอีสานตอนล่าง เรียกว่า เมืองท่ง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ มีเจ้าเมืองต่อมาคือ ท้าวมืด ท้าวทน ท้าวเชียง และท้าวสูนสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์พระยาขัติยะวงษา (ทน)ปี พ.ศ. 2256 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยากรมท่าและพระยาพรหมเดินทางมาดูแลหัวเมืองในภาคอีสาน ท้าวทนจึงได้เข้ามาขออ่อนน้อม พระยาทั้งสองจึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรีขอตั้งท้าวทนเป็นเจ้าเมือง โดยยกบ้านกุ่มฮ้างขึ้นเป็น เมืองร้อยเอ็ด ตามนามเดิม ท้าวทนได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา นับว่าเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ส่วนเมืองท่งนั้นบรรดากรมการเมืองเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปตั้งบริเวณดงท้าวสาร และให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ นับแต่นั้นมาทั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิต่างมีฐานะขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีเช่นเดียวกันพ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดและบรรดาหัวเมืองอีสานล้วนต้องขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนเมืองร้อยเอ็ดก็ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะทางการเมืองและความสำคัญเหนือเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมาพ.ศ. 2326 พระขัติยะวงษา (ทน) ถึงแก่กรรม ท้าวสีลังบุตรคนโตได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระขัติยะวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบแทน ต่อมาในปี พ.ศ. 2369 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพกบฎถูกตีแตกถอยร่นกลับมา กำลังทหารจากเมืองร้อยเอ็ดได้เข้าโจมตีซ้ำเติมจนพวกกบฎแตกพ่าย พระขัติยะวงษา (สีลัง) มีความดีความชอบได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาขัติยะวงษาในปี พ.ศ. 2418 เกิดสงครามปราบฮ่อที่เวียงจันทน์และหนองคาย เจ้าเมืองอุบลได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ายกกำลังไปปราบ โดยเกณฑ์กำลังพลจากหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือไปช่วยปราบกบฎ เมื่อกองทัพยกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยะวงษา (สาร) และราชวงศ์ (เสือ) ได้สมทบกำลังไปปราบฮ่อด้วย เมื่อเสร็จศึก ราชวงศ์ (เสือ) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาล จึงให้รวมหัวเมืองอีสานเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 4 กองใหญ่ แต่ละกองมีข้าหลวงกำกับการปกครองกองละ 1 คน และมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอีกชั้นหนึ่งอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ กองใหญ่ทั้ง 4 กอง ได้แก่ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ และหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง เมืองร้อยเอ็ดเป็นหัวเมืองเอกในจำนวน 12 เมืองของหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การบริหารหัวเมืองอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราระบบการปกครองเทศาภิบาลขึ้นใช้ปกครองส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ หัวเมืองลาวกาวจึงเปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลลาวกาว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ และมณฑลอีสานตามลำดับในปี พ.ศ. 2450 เมืองร้อยเอ็ดได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นบริเวณร้อยเอ็ด โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เมือง คือเมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองมหาสารคาม เมืองกมลาไสย และเมืองกาฬสินธุ์ในปี พ.ศ. 2453 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเทศาภิบาลข้าหลวงมณฑลอีสานว่า ควรแยกมณฑลอีสานออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นไปตามที่เสนอ มณฑลร้อยเอ็ดจึงมีเขตปกครอง 3 จังหวัดคือ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร เป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน มีอุปราชประจำภาคอยู่ที่เมืองอุดรธานี ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2468 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกภาคอีสาน แล้วปรับเปลี่ยนเป็นการปกครองระบบมณฑลตามเดิม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2469 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร แล้วให้เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัด ขึ้นต่อมณฑลนครราชสีมาระหว่างปี พ.ศ. 2445-2455 ได้เกิดกบฎผีบุญขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ดอันมีสาเหตุมาจากการยกเลิกการปกครองแบบดั้งเดิม โดยยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง แล้วแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง ทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มเจ้าเมืองเดิมและทายาท กบฎผีบุญเกิดขึ้นจากการมีผู้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในภาคอีสาน ในที่สุดก็ถูกทางราชการปราบได้ราบคาบในปี พ.ศ. 2469 อำมาตย์เอกพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) ข้าหลวงจังหวัดร้อยเอ็ดเห็นว่า บึงพลาญชัย (เดิมใช้ว่าบึงพระลานชัย) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองร้อยเอ็ดตื้นเขิน ถ้าปล่อยทิ้งไว้บึงก็จะหมดสภาพไป จึงได้ชักชวนชาวบ้านจากทุกอำเภอมาขุดลอกบึงเพื่อให้มีน้ำขังอยู่ได้ตลอดปี ได้ดำเนินการขุดลอกบึงทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ 2 ปี มีชาวบ้านมาร่วมขุดลอกบึงถึง 40,000 คน นับว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของไทยที่ควรจารึกไว้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานไทยต่อไปชั่วกาลนาน ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนเป็นมรดกที่สำคัญของจังหวัดร้อยเอ็ดมาตราบเท่าทุกวันนี้อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน อำเภอธวัชบุรี อำเภอพนมไพร อำเภอโพนทอง อำเภอโพธิ์ชัย อำเภอหนองพอก อำเภอเสลภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอเมืองสรวง อำเภอโพนทราย อำเภออาจสามารถ อำเภอเมยวดี อำเภอศรีสมเด็จ อำเภอจังหาร อำเภอเชียงขวัญ อำเภอหนองฮี อำเภอทุ่งเขาหลวง Most part of the province is covered by plains about 130-160 meters above sea level, drained by the Chi River. In the north of the province are the hills of the Phu Phan mountain range, with the Yang River as the major river. In the south is the Mun River, which also forms the boundary to the province of Surin. At the mouth of the Chi River, where it enters the Mun River, a big flooded basin provides a good rice farming area.Roi Et National Museum (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด): It was initially established by Dr. Ko Sawatdiphanit with an aim to showcase local silk textiles and handicrafts of Roi Et. It was later renovated when the Fine Arts Department had the policy to set up a national museum. The Monument of Phra Khattiyawongsa (Thon) (อนุสาวรีย์พระขัติยะวงษา (ทน) Phra Khattiyawongsa (Thon) was appointed to be the first ruler of Roi Et. He was considered a great ruler as he could restore the city until Roi Et became one of the most prosperous cities in the region.Somdech Phra Srinakarindra Park Roi Et (สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด): It is a public park in the heart of the city, located in front of the city hall. The highlight is the fountain in the middle of the park and a clock tower. The park is used as a venue for various cultural occasions and events of the province.Bueng Phalan Chai (บึงพลาญชัย): The picturesque lake on the area of 200,000 sq.m. is a symbol of Roi Et. Inside is situated the city pillar shrine, the sacred shrine that is highly revered by the people of Roi Et. There is also a large walking Buddha image, a Constitution atop a Footed Tray, flower clock, Phu Phalan Chai (an artificial waterfall), and animal sculptures. Mueang Roi Et Municipality Aquarium (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด): One of its twin buildings comprises an auditorium, lecture room, exhibition room, office, a ticket booth. The next building features an aquarium which shows fresh water fish. The highlight of the exhibition is the underwater tunnel through which one can view the movements of the marine animals from any direction. Wat Klang Ming Mueang (วัดกลางมิ่งเมือง): The Ubosot was built during the late Ayutthaya period. In the past, it was used for the Oath of Allegiance Ceremony. At present, it is a venue for dharma practice and is known as Sunthon Thamma Pariyat School. Wat Sa Thong (วัดสระทอง): The temple houses Luangpho Phra Sangkatchai (Kaccayana), a sacred Buddha image highly revered by the people of Roi Et. Phraya Khattiyawongsa (Thon), the first founder of Roi Et, discovered this image.Wat Buraphaphiram (วัดบูรพาภิราม): There is the tallest standing Buddha image in Thailand known as Phra Phuttha Rattanamongkhon Mahamuni or Luangpho Yai, which was built with reinforced concrete in the blessing attitude.Prang Ku or Prasat Nong Ku (ปรางค์กู่ หรือ ปราสาทหนองกู่): is a complex of buildings with a plan that resembles the Khmer nursing home known as ‘Arogayasala’. It comprises the main prang, a library, wall and entrance pavilions, and a pond outside of the wall. The ruins are in good condition, especially the roof structure of the main prang.Wat Pa Non Sawan (วัดป่าโนนสวรรค์): It is a huge temple built from the abbot’s omen. It was embellished and decorated with local earthenware, so it looks strikingly eye-catching. The entrance of the multi-tiered chedi represents Hanuman’s mouth. Bo Phan Khan Rattanasophon (บ่อพันขันรัตนโสภณ): The park was set up to commemorate the 50th Anniversary Celebrations of His Majesty’s Accession to the Throne. It is also where the beautiful image of Phra Phuttha Sahatsakhantha Mahamuninat is located. Ban Wai Luem (บ้านหวายหลึม): The village famous for silk weaving is part of the province’s One Tambon One Product (OTOP) project, so it is also the distribution centre for local handicraft products such as handbags, cotton, and ready-to-wear clothes. Ku Ka Sing (กู่กาสิงห์): It is another huge temple with Khmer-style architecture, comprising three prangs on the same laterite base, and rectangular library buildings in front. All of them are surrounded by a wall, with entrance pavilions known as Gopura at the four directions. Outside is a U-shaped moat surrounding the wall. Thung Kula Ronghai (ทุ่งกุลาร้องไห้) The legend of Thung Kula Ronghai had it that, in ancient times, there were Kula people who travelled around for trading; they were known for being strong and tolerant. But when they reached this field, the hardship even made them cry (Ronghai) because there was not a single drop of water or big trees in sight. Ku Phra Kona (กู่พระโกนา) : comprises three east-facing brick prangs lying in the north-south direction, standing on a single sandstone base. They are surrounded by a boundary wall, with entrance pavilions or Gopuras in four directions; all were made from sandstone. Sim Wat Traiphum Khanachan (สิมวัดไตรภูมิคณาจารย์): The architectural structure suggests that it is a traditional small ‘Sim’ – local dialect for Ubosot-of the Northeast with a low boundary wall. Sim Wat Traiphum Khanachan was awarded for outstanding architecture by the Association of Siamese Architects under Royal Patronage. Bueng Kluea (Salt Lake or Sea of Isan) (บึงเกลือ หรือ ทะเลอีสาน): Situated in Tambon Bueng Klua, it is a large lake covering a total area of 7,500 rai, with water all year round.Sim Wat Chakkrawan Phum Phinit or Wat Nong Muen Than (สิมวัดจักรวาฬภูมิพินิจ หรือ วัดหนองหมื่นถ่าน): It features a small ‘Sim’ of traditional northeastern style. Its gable and ‘Rang Phueng’ (decoration underneath the lower tie beam) feature fine woodcarving with a wooden shingle roof. Outside is decorated with mural paintings.Pha Nam Yoi or Isan Buddhist Park (ผาน้ำย้อย หรือ พุทธอุทยานอีสาน): It covers a forest with wide varieties of hardwood trees and is home to various kinds of wild animals. On the hill is situated Wat Pha Namthip Thep Prasit Wanaram. The temple houses Phra Mahachedi Chai Mongkhon, one of Thailand’s largest chedis.Literature Botanical Garden (สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี): It is the regional literature botanical garden of the Northeast. It covers a total area of about 1,000 rai, featuring plants mentioned in Thai literature.Tham Pha Nam Thip Non-hunting Area (เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์): It comprises steep and complex undulating sandstone mountains with abundant dry evergreen forest, deciduous forest, and deciduous dipterocarp forest. Fauna found in this area include boars, barking deer, foxes, monkeys, squirrels, etc.Pha Mok Mi Wai (ผาหมอกมิวาย): Situated inside Pha Nam Thip Non-hunting Area, it is the best viewpoint and is covered with mist all year round, as it is an abundant area with high humidity.Bun Khao Chi and Pho Chai Products Festival or Bun Duean Sam It is held according to Hit Sip Song - the Northeastern twelve festivals for the twelve months. The Northeasterners believe that by making merit with Khao Chi or grilled sticky rice, they would gain huge merit. The festival also features a beauty pageant and competition of a giant-sized Khao Chi.Kin Khao Pun Bun Phawet Festival First held in 1991, it has been held annually around early March every year ever since. The event takes place at the Somdech Phra Srinakarindra Park and Bueng Phalan Chai. Bun Phawet, or known in the Central Region as Bun Mahachat, is usually held in the 4th lunar month. It is a Buddhist ceremony in which the monks give a sermon of all chapters of the Vessantara Jataka, otherwise called the Great Birth Sermon. There are also 13 parades of Phawet, according to the number of the chapters of the sermon, arranged by various public and private organisations. The area around Bueng Phalan Chai has stalls providing free ‘Khao Pun’-rice noodle-for participants. There are also contests of traditional arts and culture such as making the ‘bai si su khwan’ tray. Bun Bangfai Festival The Rocket Festival The festival is organised annually around June. Every district will organise colourful parades of Bangfai rockets that reflect the folk culture and local traditions of Roi Et province, especially the parades from Phanom Phrai and Suwannaphum districts will be lavishly decorated. Candle Festival It is organised annually on Asalha Puja Day at the Somdech Phra Srinakarindra Park. Each temple will beautifully decorate their candle floats with colourful flowers, and the parade will move along the road via the market to the cruciform pavilion in the Park. There will also be contests of decorated candles and floats with cultural performances. Long Boat Races of Tambon Mueang Bua, Kaset Wisai District The event is held annually at the end of the Buddhist Lent, or around mid-October when there is plenty of water in the river. Boats joining the races are from Roi Et and nearby provinces including Kalasin, Maha Sarakham, Si Sa Ket, and Nakhon Ratchasima.